เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๘ ส.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


 

ศาสนาพุทธ พุทธศาสนา เรามีศีลธรรม วัฒนธรรม ในพุทธศาสนาสอนว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ทำดีต้องได้ดี แต่คุณงามความดีของเราเห็นไหม ดูสิ เราอยู่บ้านนอกคอกนา จะชนบทขนาดไหนก็มีวัดมีวาอยู่ทั่วไป มีวัดไว้เพื่อให้เราทำบุญกุศล ไอ้ทำกุศลนี่ทำดี ทำดีมีการเสียสละนะ มีการบริหารจัดการความรู้สึก ถ้ามีการบริหารจัดการความรู้สึก เช้าเข้ามาเราทำบุญตักบาตร มันได้ผ่อนคลาย หัวใจได้เปิดกว้าง ชีวิตประจำวัน วันหนึ่งเราจะทำสิ่งใดบ้าง

ในพุทธศาสนา เช้าขึ้นมาพระภิกขาจาร เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราทำหน้าที่การงาน เช้าขึ้นมาเราปรุงอาหารเพื่อเอาไว้กินของเรา นี่ข้าวปากหม้อ เขาตักใส่บาตรก่อน เพื่ออะไร เพื่อเป็นมงคลชีวิต ถ้าชีวิตมีมงคลขึ้นมา ตั้งแต่เช้าขึ้นมา มงคลชีวิต ศีลธรรม จริยธรรม

นี่บรรพบุรุษของเราเลือกนับถือพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนเรื่องอะไร...สอนเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การทำคุณงามความดีของเรา ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรานะ เราเสียสละของเรา อนุโมทนาบุญ เราไม่มีวัตถุที่จะทำบุญ เราเห็นคนทำคุณงามความดี เราก็ชื่นใจไปกับเขา

แต่โลกไม่เป็นอย่างนั้นนะ คนทำดีต้องแอบทำนะ ถ้าทำความชั่ว เขาทำกันเพื่ออิทธิพล ทำความดีนี่ มีแต่คนเหยียบย่ำถากถาง ทำคุณงามความดีของเรานี่ สิ่งที่เป็นคุณงามความดี มาวัดมาวานี่ ต้องแอบไปนะ เพราะสังคมเขามองกันเป็นวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องกายภาพนะ สิ่งที่พิสูจน์ได้เป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ แต่ความรู้สึกมันพิสูจน์ไม่ได้ แต่ทางการแพทย์เขาก็พิสูจน์ได้ คลื่นหัวใจต่างๆ พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ นั้นนะเป็นกายภาพทั้งหมด

ถ้าเป็นหัวใจล่ะ หัวใจนี่ “มารเอย...เธอเกิดจากความดำริของเรา” ความดำริเห็นไหม มาจากพลังงานนั้น พลังงานนั้นเราจะรื้อค้นมาไม่ได้ แต่ความรื้อค้นของเราขึ้นมาได้เห็นไหม ศาสนานี่ลึกซึ้งมาก ละเอียดอ่อนมาก

แต่! แต่เราอยู่กันด้วยกระพี้ ด้วยเปลือกไง สิ่งที่เป็นกระพี้และเปลือก ส่งให้ศาสนามา ๒,๐๐๐ กว่าปีนะ ถ้าไม่มีพระมีเจ้านี่ มดแดงเฝ้ามะม่วง ถ้าเป็นพระไตรปิฎกก็เก็บใส่ตู้ไว้ ไม่ศึกษา ไม่ค้นคว้าเห็นไหม นี่มดแดงเฝ้ามะม่วง

พระก็เฝ้าสัจธรรมเอาไว้ สัจธรรมนะ ทั้งๆ ที่มีอยู่กับเรานะ ทั้งๆ ที่เราเกิดเป็นมนุษย์ เราก็มีหัวใจ มีความรู้สึกนะ แต่เหมือนตัวหนอน เห็นตัวหนอนไหม ดูสิ เวลามันไข่ออกมานี่ กว่ามันจะออกมาเป็นดักแด้ ออกมาเป็นตัวหนอน

ถ้าสังคม ศีลธรรม จริยธรรมดี ตัวหนอนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มันมีใบไม้ มันมีสิ่งใด อาหารมันอุดมสมบูรณ์ แต่ตัวหนอนถ้าสิ่งแวดล้อมไม่ดี มันจะไปกินอะไรล่ะ มันก็ต้องตายของมัน เพราะมันไม่มีอาหารของมัน

นี่ก็เหมือนตัวหนอน เพราะอะไร เพราะเราเกิดมานี่ ในสังคมพุทธศาสนา ศาสนาเป็นเครื่องกล่อมเกลาให้คนเป็นคนดี กล่อมเกลาที่ไหน...”ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมความแก่ธรรม ศีลธรรมย่อมคุ้มครอง” จะคุ้มครองเราอย่างไร ถ้าเรามีศีล ๕ เรารักษาศีลของเรา

ปาณาติปาตา... เราไม่เบียดเบียนใคร เราไม่ทำลายใคร

เราไม่ลักของใคร... ของใครตกเห็นไหม ไม่ใช่ลักนะ เห็นของตกที่ไหนแล้วเอาไปคืนเจ้าของเขาด้วย เจ้าของเขาไม่ได้ให้ไง เราหยิบฉวยเอาที่เจ้าของเขาไม่ให้ นั่นคือความผิดศีล

เราไม่ผิดลูกเมียของใคร...

เราไม่โกหกมดเท็จ... เราพูดแต่คำสัตย์คำจริง คำสัตย์คำจริงนี่สำคัญมากเลย ไอ้มุสานี่ พูดกันเพื่ออะไร มันติดขัดในหัวใจ เพราะพูดตรง พูดมุสาไปนี่ มันเป็นภาระรับผิดชอบ มันก็ทำไม่ได้ เลี่ยงๆ ไป เลี่ยงๆ กันมา

แล้วสุรา…

ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครอง ถ้าคุ้มครองนี่ นี่เราหาเครื่องรางของขลังคุ้มครอง อะไรจะคุ้มครองเรา แต่ทำตัวมีเครื่องรางของขลัง แล้วก็ไปเบียดเบียนคนอื่น มันจะคุ้มครองสิ่งใดล่ะ

แต่ถ้ามีธรรมะ ธรรมะก็ย่อมคุ้มครองเรา “กลิ่นของศีล...หอมทวนลมนะ” เด็กคนไหนนิสัยดี ชีวิตมีคุณภาพต่างๆ นี่ ผู้ใหญ่เขาพูดปากต่อปากไปนี่ กลิ่นของศีล...มันหอมทวนลม กลิ่นของคุณงามความดี นี่ธรรมคุ้มครอง ไปที่ไหนตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้นะ นี่ทำคุณงามความดี ทำดีได้ดี ได้ที่นี่ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว

แต่เรามันเหมือนตัวหนอน ตัวหนอนมันไม่รู้สิ่งใดเลย เกิดมามันก็กินแต่ใบไม้ มันจะกินเพื่อความเจริญเติบโตของมัน แล้วมันจะเป็นดักแด้ มันจะเป็นผีเสื้อ มันจะไปของมัน ชีวิตมันก็วนเวียนอย่างนั้นน่ะ

นี่พูดถึงเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนา แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาในป่า ในหัวใจของเรานี่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์ ครูบาอาจารย์ของเราก็เป็นมนุษย์ มนุษย์ของเรา เราต้องหาเรื่องความมั่นคงในกายภาพ ในเรื่องความดำรงชีวิต

ความดำรงชีวิต ถ้าหัวใจมันดี หัวใจเรามีคุณธรรมนะ สิ่งใดที่ดำรงชีวิตเรามีความสุขมาก แต่ถ้าหัวใจเราถ้ามันเดือดร้อนนะ เราจะมีสิ่งใด นั่งอยู่บนกองเงินกองทอง นั่งอยู่บนกองน้ำแข็งนะ ดูสิ เขาอยู่ในขั้วโลกใต้ หิมะทั้งนั้น เขาก็ทุกข์ ทุกข์มาก มันจะเย็นขนาดไหน มันเย็นแต่ข้างนอก ข้างในมันไม่เย็นหรอก

แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา สตินี่มันยับยั้งเราได้ ดูความคิด ความรู้สึกของเราสิ ถ้าไม่มีสติปัญญาควบคุมมันนะ โห...มันจินตนาการ ความจินตนาการเวลาเป็นหน้าที่การงานนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ การบริหารจัดการมันต้องมีของมัน แต่เวลาจินตนาการของมันโดยกิเลสตัณหา โดยตัณหา...

ตัณหาคือความเป็นไปไม่ได้ ตัณหาคือสิ่งที่มันเร่งเร้าให้เห็นประโยชน์กับตัวเอง นี่เวลามีสิ่งนั้น ถ้าเรามีสติยับยั้ง พอมีสติยับยั้งขึ้นมา มีสติยับยั้งความฟุ้งซ่านของใจ อารมณ์ความรู้สึกของหัวใจ ถ้ามันสงบตัวลงได้ นี่ธรรมะคุ้มครอง คุ้มครองจากภายนอก คุ้มครองจากความดำรงชีวิตของเรา คุ้มครองจากเรามีศีลของเรา มีการบังคับตัวเอง ถ้าคุ้มครองตัวเอง ผลของมันคือ มีสติปัญญาคุ้มครองตัวเราเอง ถ้าคุ้มครองตัวเราเอง “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

ผู้ใดเห็นจิตของตัวเอง ผู้ใดเห็นพลังงานของตัวเอง นี่แกนของโลก โลกอยู่ไหน ดูสิ แกนของโลกเห็นไหม โลกอยู่ไหน แกนของมัน แรงดึงดูดของโลก ดูดสรรพสิ่งกลับตกมาในโลก

อวิชชา ความไม่รู้ของจิต ตัวจิตเห็นไหม แกนของใจ แกนของชีวิตเรานี่ ชีวิตนี้ไม่ใช่ชีวิตเดียวนะ ดูสิ ดูปฏิภาณไหวพริบสิ ดูปัญญาของคนมันแตกต่างหลากหลายเพราะเหตุใด เพราะปัญญามันเกิดจากอะไรเห็นไหม

...คนจะมีทรัพย์สมบัติ คนจะมีความสุข ความร่มเย็น...เพราะเคยทำบุญกุศลมา

...คนจะมีร่างกายสวยงาม...เพราะรักษาศีลมา

...คนจะมีปัญญาขึ้นมา...เพราะเคยกำหนดพุทโธๆ เคยฝึกภาวนามา การฝึกภาวนามันจะเกิดให้คนมีปัญญา ปัญญาเห็นไหม ปัญญารอบรู้ในกองสังขาร มันควบคุมตัวมันเองได้ มันเปลี่ยนแปลงได้

คอมพิวเตอร์เห็นไหม ดูสิ ซอฟแวร์ต่างๆ เขาต้องมีคุณภาพของเขา นี่ก็เหมือนกัน ตัวจิต ตัวปฏิสนธิจิต ข้อมูลที่จิต สัญญาข้อมูล เวลาเราศึกษา เราเล่าเรียนขึ้นมานี่ เราเรียนมาจากไหน เราเรียนมาจากตำรานะ ตำราเล่มเดียวกัน คนคิดแตกต่างหลากหลายกัน ทำไมคนคิดมองตำราทางวิชาการ แต่มีมุมมองแตกต่างกันไป

มุมมองมันเกิดจากปฏิสนธิจิต เกิดจากอำนาจวาสนา เกิดจากการสะสมของใจมา ถ้าเกิดการสะสมของใจมา นี่ไง สิ่งที่พัฒนาการของใจ พันธุกรรมทางจิตที่มันสร้างมานี่ ถ้ามันสร้างมาสิ่งนี้ บางที บางคนนี่ไบรท์มากเลย โอ้โฮ! คิดนี่เพริศแพร้วไปเลย ความคิดกระจ่างแจ้งไปหมดเลย บางคนสอนแล้วสอนอีก คิดแล้วคิดอีก จี้แล้วจี้อีก มันยังคิดไม่ออกเลย มันทำไมเป็นอย่างนั้น

ไอ้อย่างนี้ ไม่ใช่ให้เราดูถูกเหยียดหยามกันนะ เราจะพูดถึงเหตุไง เหตุว่าปฏิภาณไหวพริบนี่ มันมาจากไหน มันมาจากที่เราเสียสละกันนี่ เราทำบุญกุศลกันนี่ เราฝึกกันนี่ มันจะสะสมรวมลงที่ใจ สิ่งใดที่สละ มือเรานี่ เราทำทาน เราเสียสละออกไป ทำบุญกุศลออกไปจากมือนี่ มือมันเองเป็นเองได้ไหม

แล้วนี่หุ่นยนต์เขาคิดได้นะ เขาสั่งให้มือทำงานได้ หุ่นยนต์มันไม่มีชีวิต ไม่มีความรู้สึก แต่เพราะเรามีเจตนา ถึงจะไม่อยากมา โดนบังคับมา แต่มันก็ทำนะ แต่ถ้ามันเห็นผลของมันนี่ มันทำของมันเอง เห็นผลของมันเห็นไหม พลังงานตัวนี้มันเป็นตัวสั่ง ถ้าพลังงานมันคือตัวสั่งนี่ สิ่งใดที่ออกไปนี่ มันจะไปตกอยู่ที่พลังงานนั้น นี่ไง ฐีติจิต

พลังงานเริ่มต้น ความคิดมันมาจากไหน ชีวิตนี้มาจากไหน สรรพสิ่งนี้มาจากไหน มาจากฐีติจิต มาจากภวาสวะ มาจากภพ มาจากหัวใจตัวนี้ หัวใจตัวนี้ ดี ชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันจะสะสมลงที่ใจทั้งหมด

พระโพธิสัตว์เห็นไหม ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เสียสละชีวิต เสียสละทุกอย่าง เสียสละทุกอย่างเลย ชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ ต้องสละลูก สละเมีย ทุกองค์ต้องสละหมด เพราะมันสละแล้วมันถึงได้โพธิญาณ นี่การเสียสละเห็นไหม ดูสิ บอกว่าพระเวสสันดร เห็นแก่ตัว นี่สละลูก สละเมีย ไม่ยอมสละตัวเอง

แต่ไม่ได้คิดมุมกลับนะ คิดมุมกลับหมายถึงสุภาพบุรุษนี่ มีความรับผิดชอบมาก รักมาก ครอบครัวนี่รักมาก ลูกก็รักมาก แต่เวลาเขาขอ ขอลูก ขอเมีย เขาไม่ได้ขอตัวเอง เห็นไหม พวกเรานี่ยอมทุกข์ยากกับครอบครัวของเรานะ เราจะยอมทุกข์ยากเพื่อคนรัก คนที่เราบูชา เราทำแทนได้ทุกอย่างเลย แต่เขาไม่เอาเราอ่ะ... เขาไม่เอาเราอ่ะ... เขาเอาคนรักของเรา เพื่อให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ

ความเจ็บช้ำน้ำใจ โพธิญาณมันอยู่ที่นั่นเห็นไหม นี่ความเจ็บช้ำ ความเจ็บปวด ๒ ชั้น ๓ ชั้น ไม่ใช่ว่าเห็นแก่ตัวหรอก คนที่จะเห็นแก่ตัวคือคนเลว คนเลวนี่คนไม่รับผิดชอบ คนเลวมันจะเอาแต่ความดีใส่ตัวมัน มันจะวิ่งหนี มันจะไม่ยอมรับสิ่งใดเลย อะไรที่ไม่ดีมันจะผลักให้คนอื่นหมดเลย

แต่คนที่รับผิดชอบ เขารับผิดชอบ อะไรนี่เขาแก้ไขของเขาหมดเห็นไหม นี่การเสียสละอย่างนี้มันเสียสละได้ยาก การเสียสละของที่สงวนรักษา ที่ถนอมมาก ที่รักมาก เราสละออกไปนี่ สละได้ยากมาก

ระหว่างเพศตรงข้ามนี่ เสียสละเพศตรงข้าม เสียสละได้ยากที่สุด มีครูบาอาจารย์พูดบ่อย ไปทำอะไรก็ไม่ได้ รักลูกๆ ลูกให้คนอื่นอุ้มได้ไหม... ได้ แล้วเมียเขาอุ้มได้ไหม... ไม่ได้ รักลูกๆ เวลาลูกให้อุ้มได้นะ แต่เมียรักไหม... รัก คนอื่นอุ้มได้ไหม... ไม่ได้ เห็นไหม!มันไม่กล้าพูด มันไม่กล้าพูดออกมาจากใจ

แต่อย่างนี้ แล้วเราก็พูดกันด้วยมายาสาไถ เห็นแก่ตัว! เห็นแก่ตัว! เห็นแก่ตัวแต่คนชั่ว คนเลว แต่ถ้าเป็นคนดี คนเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ใช่เห็นแก่ตัว ด้วยสิ่งที่ซื่อตรง เขาขอกัณหาชาลี เขาขอนางมัทรี เขาไม่ได้ขอเรา...เขาไม่ได้ขอเรา... ถ้าเขาขอเราสิ... นี่ให้นางมัทรี ให้กัณหาชาลีอยู่ข้างหลัง แล้วออกเผชิญเลย นี่กษัตริย์นักรบนะ มันมีอะไรที่จะทำไม่ได้ แต่ก็ไม่ทำไง ไม่ทำเพราะอะไร เพราะจิตใจเป็นสุภาพบุรุษ

นี่เราจะพูดถึงเชาว์ปัญญา โพธิญาณน่ะ มันได้มาอย่างนี้นะ โพธิญาณน่ะ มันได้มาด้วยกำลังของจิต ที่สร้างพัฒนาการของมันขึ้นมา มันเลยมีเชาว์ปัญญา มีความเข้มแข็ง เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ยังสะเทือนหัวใจเลย เราต้องเป็นอย่างนี้หรือ

เราไปวัดไปวากัน เวลาเวียน ๓ รอบ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เราไปเห็นคนตายเชิงตะกอน พระเทศน์กัน มันยังคุยกัน! มันยังไม่ฟังเลย!

แต่เจ้าชายสิทธัตถะ ไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันสะเทือนใจนะ ไอ้เราไปวัดไปวานะ เขาทำพิธีกรรมนี่ เขาทำเป็นคติธรรมสอนเรานะ มันไปนั่งโม้กันปากเปียกปากแฉะ! สิ่งใดที่มันเป็นประโยชน์มันไม่เอาเลย...

นี่อันนี้มันเกิดจากอะไร เกิดจากหัวใจหยาบ! เกิดจากวุฒิภาวะที่สร้างมาเลวทราม!!!

เกิดจากวุฒิภาวะสร้างมาดีนะ มันจะมีวิวัฒนาการของมัน มันเห็นอะไร มันจะมีคุณภาพ มันจะยอมรับสิ่งต่างๆ แล้วมันจะเข้าถึงหัวใจของมัน

นี่พูดถึงเชาว์ปัญญานะ เราอยากไบรท์ทุกคน อยากมีเชาว์ปัญญาทุกคน แต่ทำไมไม่มีกับเราล่ะ นี้มันเป็นประวัติศาสตร์ มันเป็นอดีต กรรมเก่า

กรรมใหม่ขึ้นมาเราต้องตั้งสติ แล้วกรรมใหม่ของเรา กรรมปัจจุบันนี่ ทุกคนเกิดมาแล้วหวังดีทั้งนั้นล่ะ หวังดีแล้วต้องตั้งสติปัญญาของเรา มีสตินะ สิ่งใดที่ทำได้แค่นี้ เรามีความขยันหมั่นเพียรของเรา เราทำเพื่อตัวเรา

สิ่งใดที่เป็นอดีตมานี่ ประวัติศาสตร์เราแก้ไม่ได้หรอก อนาคตก็ยังไม่มาถึง แต่ในปัจจุบันนี้ แต่ทุกคนจะแปลกใจว่าเสมอภาค ศาสนาพุทธ ศาสนาแห่งปัญญา มีความเสมอภาค มีเสมอภาคด้วยกายภาพ เสมอภาคด้วยเราเกิดมาเป็นญาติกันโดยธรรม เกิดมามีปากมีท้องเหมือนกัน เกิดมาต้องแสวงหาเพื่อ ๑ ปากและ ๑ ท้องเท่ากัน นี้ความเสมอภาคของการเกิด การเสมอภาคด้วยความเป็นธรรม

แต่ไอ้บุญกรรมมันไม่เสมอภาค! เพราะการกระทำมามันแตกต่างกัน ความคิดสังคมมันแตกต่างหลากหลายกัน ฉะนั้น เวลาพระที่ภาวนาขึ้นมาเห็นไหม พระมาบวชแล้วมาภาวนา ก็พยายามทำ พุทโธๆๆ ให้เกิดความเสมอภาคของใจ ถ้าใจยังไม่เสมอภาค ใจยังไม่มีกำลัง ใจยังไม่เข้าไปสู่ฐีติจิต ใจยังไม่เข้าไปสู่ต้นเหตุ ถ้าไม่สู่ต้นเหตุ จะไปแก้กิเลสกันที่ไหน

เป็นหนี้! เราเป็นหนี้กับบุคคลคนนี้ แต่เวลาใช้หนี้ ใช้หนี้กับบุคคลคนอื่น เราจะใช้หนี้ได้ไหม เวลากิเลสมันเกิดจากใจเรา แต่เวลาภาวนา ธรรมะพระพุทธเจ้า พุทธพจน์ๆ พุทธพจน์เป็นตำรา เป็นเครื่องชี้นำ เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันต้องเกิดกับเรานะ

ใจเย็นๆ เวลาภาวนาต้องใจเย็นๆ เราแก้ไขเรา เราทำของเรา เราต้องแก้ไขที่หัวใจของเรา เราไปแก้ที่หัวใจของคนอื่นไม่ได้หรอก แล้วการแก้หัวใจของเรา มันเกิดปัญญาขึ้นมา ปัญญาอะไร

การศึกษาคือสุตมยปัญญา การศึกษาเล่าเรียน

จินตมยปัญญา คือ ปัญญาที่จินตนาการพร้อมกับมีสมาธิด้วย พระภาวนานี่จินตนาการแตกต่างกับโลกมหาศาลเลย

แล้วภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการกระทำ ภาวนาเกิดจากจิต เกิดจากปัญญาแก้ปัญญา เกิดจากภวาสวะ เกิดจากพลังงาน ตัวพลังงานกับพลังงานมันจัดการกันเอง เกิดได้อย่างไร ภาวนามยปัญญา ถ้าคนภาวนาไม่เป็นพูดไม่เป็นหรอก แล้วภาวนาไม่เป็นไม่เคยเห็นด้วย แต่ขี้โม้!

แต่ถ้าคนเคยเห็นนะ มันพูดออกมาไม่ได้ เพราะสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาด้วยเอาชีวิตเข้าแลก สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาด้วยความเป็นจริง

ดูสิ เหมือนเรามีเพชรนิลจินดา เต็มไม้เต็มมือเลย แล้วเราไปพูดกับยาจกเข็ญใจบอกว่า ไปแสวงหาเพชรนี่ เราจะกล้าพูดไหม เพราะยาจกเข็ญใจ กว่าเขาจะหาเงินหาทองมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เขาก็ทุกข์จะแย่อยู่แล้ว แล้วเขาจะเอาเงินที่ไหนสะสมมาซื้อเพชรนิลจินดามาเป็นกอบเป็นกำ

ไอ้เรามีเพชรนิลจินดาเป็นกอบเป็นกำ เพชรนิลจินดาอยู่กับมือเรา เรารู้ได้ใช่ไหม คนที่ภาวนามยปัญญา มันมีเพชรนิลจินดาเป็นกอบเป็นกำ นี่เขารู้ว่ามันจะหาเงินได้อย่างไร มันจะซื้อเพชรแต่ละเม็ดมันซื้อมาได้อย่างไร แล้วเพชรเม็ดใหญ่ๆ เม็ดที่มีคุณภาพ มันกี่ร้อยล้าน กี่พันล้าน เขาจะหามาได้อย่างไร

นี่ไง เวลาภาวนามยปัญญา กับสุตมยปัญญา ที่ว่าปัญญาๆๆ นี่ ปัญญากิเลส ปัญญาของอวิชชา ปัญญาของพญามาร เราใช้ปัญญากัน ปัญญาอย่างนี้หลอกตัวเอง เหมือนเศรษฐีเงินกู้ มีเงินผ่อนนะ ขี่เบนซ์ ๕๐๐ คัน แต่เป็นของบริษัทหมดเลย ตัวเองไม่มีสักคัน นี่ไง ปัญญาอย่างนี้มันบอกว่ามันจะเอาชนะกิเลสไง มันเป็นไปไม่ได้!

ฉะนั้น เราถึงต้องใจเย็นๆ นะ จะต้องทำความสงบของใจก็ต้องทำก่อน ทำให้จิตสงบขึ้นมา พอจิตสงบมีกำลังแล้ว จะทำสิ่งใดก็จะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์ตามความเป็นจริง พุทธศาสนา ครูบาอาจารย์ท่านเป็นที่พึ่งของเรานะ เวลาพระกรรมฐานเราติดพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เพราะเหตุนี้ไง เราทำอะไรไปนี่

ครูบาอาจารย์ท่านพูด “เห็นนิมิตไหม เห็นจริงไหม”... จริง... แต่ความเห็นนั้นไม่จริง

เห็นจริงทุกคน คนทุกคนมีความคิดหมด แต่ความคิดนั้นหลอกหมดเลย

ทุกคนมีความคิดไหม... มี

เป็นปัญญาหรือยัง... ทุกคนบอกเป็นปัญญาหมดเลย...นั่นแหละปัญญากิเลส!

แต่ถ้ามีความสงบของใจนะ ปัญญาจริงๆ มันเกิดขึ้นมา เพชรนิลจินดาที่เราจะไปพูดกับยาจกเข็ญใจ เราจะคุยกันอย่างไรว่า “ยาจกเข็ญใจพยายามนะ พยายามทำมาหากิน เดี๋ยวจะมีเงินสะสมซื้อเพชรได้”

นี่ก็เหมือนกัน ต้องใจเย็นๆ ไม่ใช่ว่าเรามีเพชรขึ้นไปนะ แล้วยาจกเข็ญใจมันก็อยากมีเพชรใช่ไหม มันก็ไปกอบเอาพลาสติกมาเป็นกำๆ เลย เพราะพลาสติกมันเยอะแยะไปหมด มันก็บอกว่า “นี่เพชรของมันเหมือนกัน” แล้วเราก็ตื่นเพชร

เพชรของเราเพชรจริงใช่ไหม... ดูสิ ยิ่งเด็กมันเล่นขายของกัน เพชรมัน โอ้โฮ! เป็นกระสอบๆ เลย แล้วเพชรอะไรล่ะ แต่เราก็เชื่อ! เพราะคำว่าเพชร บอกเพชรก็คือเพชร แต่เพชรจริงๆ กับเพชรแท้ เพชรเทียม เพชรต่างๆ อีกมหาศาล

เราต้องเป็นตัวของตัวเอง แล้วตรวจสอบเอง ภาวนาเอง “ปัจจัตตัง” เรามีทุกข์ เราพ้นจากทุกข์ มันพ้นอย่างใด เรามีทุกข์ เราควบคุมทุกข์ แล้วเราจะพัฒนาไป ให้มันพ้นไปได้อย่างไร นี่พระพุทธศาสนานะ อย่าเกิดเป็นตัวหนอน ตัวหนอนนะ มันไม่รับผิดชอบสิ่งใด มันกินแต่ใบไม้ใบหญ้า

เรามาเกิดเป็นคน เราต้องมีปัญญาของเรา เรื่องกาลามสูตร ไม่ให้เชื่อแม้แต่อาจารย์สอน ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น แต่มีศรัทธาในตัวของเราเอง แต่พอเวลาปฏิบัติขึ้นมาแล้วนี่ เอาสิ่งนั้นล่ะมาพิสูจน์ตรวจสอบ เพื่อประโยชน์กับเรานะ เราต้องมีหลักมีเกณฑ์ของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา

พูดถึงปฏิบัติธรรม ธรรมะย่อมคุ้มครองผู้ที่ทำบุญกุศล ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่มันละเอียดอ่อนเกินไปจนเราไม่เห็น ทำดีได้ดีของเรา ก็คือทำดีแล้วจะได้เงินทองมหาศาล เงินไม่ใช่ความดีนะ คนดีมีเงิน เงินนั้นจะเป็นประโยชน์ คนไม่ดีมีเงิน เงินนั้นจะทำลายกันหมดเลยนะ

เงินก็คือเงิน...ความดีก็คือความดี... มันคนละเรื่องกัน

บุญคือบุญ...ความสุขคือความสุข... ไม่เกี่ยวกับเงินทองนะ เงินทองมันอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ถ้ามันมีมานั้น มันก็เป็นเพราะอำนาจวาสนาบารมีของคนมันไม่เท่ากัน

ฉะนั้น ความดีคือความดี... เงินคือเงิน... หน้าที่การงานคือหน้าที่การงาน... ความสุขคือความสุข... มันคนละเรื่องกัน แล้วเราใช้สติปัญญาเราใคร่ครวญมา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง